21 กันยายน 2554

CHEVROLET



CHEVROLET



ประวัติศาสตร์อันยาวนานของเชฟวี่ทรัค เริ่มต้นเมื่อกว่า 80 ปีที่ผ่านมา เมื่อเชฟโรเลตแนะนำรถเชฟวี่ทรัครุ่นแรก ออกสู่ตลาด ในปี 1918 ด้วยความแข็งแกร่งและทรหดของเครื่องยนต์โครงแชสซี ระบบกันสะเทือนที่รองรับทุกรูปแบบการบรรทุก ส่งผลให้เชฟวี่ทรัคได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพยายามอย่างไม่หยุดนิ่งของเชฟโรเลต ทำให้สายพันธ์เชฟวี่ทรัค มีการพัฒนาการเคียงคู่กับความเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยมาตามลำดับดังนี้ 1918 เปิดตัวรถเชฟวี่ทรัค 2 รุ่นแรกคือ เชฟโรเลต 490 ซีรี่ส์ และโมเดล ที ซึ่งสร้างขึ้นจากแชสซีของรถยนต์นั่ง และติดตั้งเครื่องยนต์ 4 สูบ ทำความเร็วได้ 30 ไมล์/ชั่วโมง ผลิตขึ้นจากโรงงานในเมือง เซนต์หลุยส์ มลรัฐมิสซูรี่1921 แนะนำเชฟวี่ทรัค โมเดล จีออกสู่ตลาด 1926 เปิดตัวเชฟโรเลต วี-ซีรีส์ โรดสเตอร์ปิกอัพซึ่งมีกระบะไม้ขนาดเล็กติดตั้งอยู่ด้านหลังหัวเก๋ง
การปรับปรุงรายละเอียดทางวิศวกรรมครั้งใหญ่มีขึ้นในปี 1936 โดยเริ่มนำเพลาหลังแบบลอย และระบบเบรก ไฮโดรลิก มาติดตั้งเป็นครั้งแรก และเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งให้เป็นที่ประจักษ์เชฟโรเลตจึงส่งรถกระบะรุ่นใหม่ 1 คัน ออกแล่นพิสูจน์สมรรถนะและความประหยัด รวมทั้งปีนขึ้นหุบเขา Pike Peak ในโคโลราโดพร้อมสัมภาระที่น้ำหนักรวมถึง 5 ตัน และสามารถทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้โดยไม่มีความบกพร่องใด ๆ ทั้งสิ้น โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 328 ชั่วโมง กับอีก 31 นาที ใช้ความเร็วเฉลี่ย 31 ไมล์/ชั่วโมง รวมระยะทางมากถึง 10,244 ไมล์ มาจนถึงทุกวันนี้ ทีมวิศวกรของเชฟโรเลตยังคงทำการทดสอบรถกระบะรุ่นใหม่ที่ Pike Peak เพื่อทดสอบให้มั่นใจในความแข็งแกร่งและทรหด ก่อนผลิตออกสู่ตลาด ในปี 1936 เปลี่ยนโฉมเชฟวี่ทรัค ให้ทันสมัยขึ้นและทนทรหดยิ่งขึ้นจนผ่านบทพิสูจน์ ทะยานสู่หุบเขา ไพค์ พีค (Pike Peak) พร้อมสัมภาระน้ำหนักรวม 5 ตัน อย่างไร้ปัญหา สร้างชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่งและทนทานให้กับเชฟวี่ทรัคจนถึงทุกวันนี้ต่อมา หน่วยงาน American Automobile Association (AAA) ได้นำรถเชฟวี่ทรัค ขนาดครึ่งตันแต่แบกน้ำหนักสัมภาระไว้ถึง 1,000 ปอนด์ ไปทดสอบการใช้งานตามโครงการ Second Annual Safe Driving Test ซึ่งเป็นบทพิสูจน์อย่างดีของเชฟวี่ ทรัค ในด้านความประหยัด เพราะใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ยต่ำมาก อีกทั้งไม่มีปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องใด ๆ ทั้งที่มีการจอดแวะเพื่อบำรุงรักษาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ผลจากการทดสอบครั้งสำคัญนี้ ทำให้ชื่อเสียงของเชฟวี่ ทรัค เริ่มเป็นที่เลื่องระบือนามนับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยการต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากผู้บริโภค ทำให้ยอดขายของเชฟวี่ ทรัค แซงขึ้นหน้าคู่แข่งได้สำเร็จ จนยอดผลิตสะสมตั้งแต่ปี 1918-ปี 1941 พุ่งสู่ระดับ 2 ล้านคัน และยืนหยัดอยู่ในอันดับ 1 มากกว่า 30 ปี เมื่อสหรัฐอเมริกาต้องเข้าสู่สภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของสหรัฐฯในขณะนั้นได้ประกาศให้ผู้ผลิต รถยนต์ทุกแห่ง เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ผลิตยุทธปัจจัยเพื่อป้อนให้กับกองทัพ ด้วยเหตุนี้การผลิตรถยนต์ทุกประเภทเพื่อขายให้กับประชาชน จึงต้องสะดุดลง ชั่วคราว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จีเอ็มและเชฟโรเลต กลายเป็นผู้ผลิตรถกระบะสำหรับใช้สนับสนุนกองทัพอเมริกัน มากถึง 3 เท่าของผู้ผลิตรายอื่น ด้วยยอดผลิตจากทั้งหมด 94 โรงงานทั่วสหรัฐอเมริกา สูงถึง 854,000 คันภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1947 เชฟวี่ ทรัค รุ่นใหม่ แอดวานซ์ ดีไซน์ ซีรีส์ Advanced Design Series ก็ได้ถูกแนะนำตัวสู่ตลาดรถอเมริกันอีกครั้งด้วยความยาวมากขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มความสบายให้ผู้โดยสาร ทั้งยังช่วยให้มีการระบายอากาศที่ดี ติดตั้งกระจกบังลมหลังทรงโค้งมน ช่วยลดจุดบอดทัศนวิสัยได้ดีขึ้น และยังเป็นรุ่นแรกที่ติดตั้งใบปัดน้ำฝนแบบ 2 ก้าน รวมทั้งการออกแบบแชสซีขึ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม เชฟโรเลตยังคงเพิ่มอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงคาร์บิวเรเตอร์แบบ เพาเวอร์เจ็ท โช้คอัพแบบ Direct Double ไปจนถึงที่ล็อคประตูแบบกดปุ่ม ทำให้รถกระบะรุ่นนี้กลายเป็นรุ่นสำคัญอีกรุ่นหนึ่งที่ผลักดันให้ จีเอ็มกลายเป็นผู้นำของโลกอุตสาหกรรม ยานยนต์ในยุคหลังสงครามโลก 1955 เปิดตัวเชฟวี่ทรัค เครื่องยนต์ วี 8 ติดตั้งในรถกระบะรุ่นปี 1955 ออกแบบโดยหัวหน้าทีมวิศวกรของเชฟโรเลตในยุคนั้นที่ชื่อ Edward Cole จุดเด่นอยู่ที่การออกแบบที่เรียบง่าย แต่ให้พละกำลังสูง อีกทั้งยังทนทาน และมีขนาดเล็กกว่า เครื่องยนต์ วี8 ในยุคก่อน ๆ และที่สำคัญก็คือเครื่องยนต์ วี8 นี้ถูกติดตั้งเชื่อมกับเกียร์อัตโนมัติซึ่งถือเป็นความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี จีเอ็มและเชฟโรเลตเริ่มใช้มาตังแต่ปี 1955 ขณะเดียวกันผู้บริโภคยุคนั้นเริ่มต้องการรถกระบะที่ไม่เพียงแต่ใช้งานเพื่อการบรรทุกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องถึงพร้อมด้วยความเป็นพาหนะสำหรับใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายดังนั้น ในปี 1955 เชฟโรเลตจึงสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ เปิดตัว เชฟโรเลต คามิโอ แคร์ริเออร์ รถปิคอัพส่วนบุคคล “ Personal Pickup” รุ่นแรกของวงการ โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สวยงามการใช้ชิ้นส่วนตัวถังทำจากพลาสติก และไฟเบอร์กลาส รวมทั้งไฟท้ายทรงเอกลักษณ์และฝาครอบล้อจากรถยนต์รุ่นดังระดับตำนานอย่าง เชฟโรเลต เบลแอร์ นอกจากนี้ยังเป็นรถกระบะรุ่นแรกในสหรัฐอเมริกา ที่มีตัวถังด้านข้างแบบเรียบ (non-stepside) จนคู่แข่งทั้งหลายพากันเลียนแบบ ทำตลาดจนถึงปี 1985นับจากปี 1918 จนถึงปี 1957 ยังมีรถกระบะเชฟโรเลตในสหรัฐอเมริกาต่อทะเบียนในปีนั้นมากถึง 3 ล้านคัน คิดเป็น 40 % จากยอดผลิตทั้งหมด ตัวเลขนี้แสดงถึงความโดดเด่นในด้านความแข็งแกร่ง ทนทานของรถกระบะสายพันธุ์เชฟวีทรัคได้อย่างดี ยุคสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงของ เชฟวี่ทรัค จากรถปิกอัพ พัฒนาจนมาเป็นรถเก๋งอย่าง Chevrolet El Camino ที่ยังคงความอเนกประสงค์ตามแบบฉบับไว้อย่างดี นอกจากนั้นในปี 1967 เป็นปีแห่งเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสายพันธ์เชฟวีทรัค ด้วยการนำระบบกันสะเทือนหน้า--หลังแบบคอยล์สปริงมาใช้เป็นครั้งแรกในเชฟวี่ทรัครุ่นใหม่ ++Chevrolet El Camino ความอเนกประสงค์บนเรือนร่างของรถเก๋ง++1959 เชฟโรเลตสร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์อีกครั้งด้วยการส่งเชฟโรเลต เอล คามิโน ออกสู่ตลาดด้วยรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวแบบรถเก๋งร่วมสมัย เครื่องยนต์มีทั้งแบบ 6 สูบ 325 แรงม้า และ วี 8 360 แรงม้า ประกอบเข้ากับความอเนกประสงค์พื้นที่กระบะหลังที่ยาวถึง 6 ฟุต และกว้างถึง 5 ฟุต จุได้มากพอ ๆ กับรถกระบะทั่วไปในยุคนั้นและรับน้ำหนักได้ถึง 1,000 ปอนด์ เอล คามิโน รุ่นสุดท้ายเปิดตัวเมื่อปี 1978 และอยู่ในตลาดจนถึง ปี 1987++ก้าวสู่ยุค 1960 ด้วยทางเลือกที่หลากหลายภายใต้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้า++ ทศวรรษ 1960 เชฟโรเลตยังคงเป็นผู้นำในเทคโนโลยีการออกแบบ รถกระบะ ด้วยรูปโฉมที่กว้างขึ้น ยาวขึ้น แต่ลดความสูงลงตามสมัยนิยมถึง 7 นิ้วจากเดิม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนมาใช้เฟรมแชสซีแบบ ladder-type อีกทั้งยังออกแบบให้หัวเก๋งสะดวกต่อการเข้าออกของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เชฟโรเลตยังเป็นรถกระบะรุ่นแรกที่ติดตั้งระบบกันสะเทือนหน้าอิสระมาตั้งแต่ปี 1960 ในปี 1961 เชฟโรเลตได้เปิดตัวรถเชฟวีทรัครูปแบบใหม่ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้น นั่นคือ เชฟโรเลตคอร์แวร์ 95 ซีรีส์ แรมพ์ไซด์ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการบรรทุกทั่วๆ ไป เป็นหนึ่งในเรื่องความประหยัด และความอเนกประสงค์ แปลกใหม่ด้วยแผงกระบะด้านข้างลำตัวที่เปิดออกได้เสริมด้วยพื้นฐานล้อยาว 95 นิ้ว ช่วยให้คล่องตัวในการขับขี่มีพิกัดบรรทุก 1,900 ปอนด์ ทำตลาดจนถึงปี 1964 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย เชฟโรเลต แวน รถตู้เพื่อการพาณิชย์รุ่นยอดนิยม++1966 ยอดผลิตของรถกระบะเชฟโรเลตทั้งหมดพุ่งสู่หลัก 10 ล้านคัน++ปี1967 เป็นปีแห่งเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสายพันธ์เชฟวีทรัค ด้วยการนำระบบกันสะเทือนหน้า--หลังแบบคอยล์สปริงมาใช้เป็นครั้งแรกในเชฟวี่ทรัครุ่นใหม่ ที่มีตัวถัวแบนและกว้างขึ้นกว่าเดิม แต่ที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค ด้วยระบบผ่อนแรงเบรก แผงหน้าปัดแบบนุ่ม ลดการบาดเจ็บของศีรษะผู้โดยสารเมื่อถูกปะทะ++ความร่วมมือครั้งสำคัญเพื่อครองความเป็นหนึ่ง++เดือนมีนาคม 1972 เชฟโรเลต ร่วมมือกับอีซูซุ มอเตอร์ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวเชฟโรเลต ลูฟ (LUV: Light Utility Vehicle) ครองใจผู้คนด้วยความประหยัดจากขุมพลังแบบ 4 สูบ OHC 75 แรงม้าเชื่อมต่อกับเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบอิสระ แต่สามารถบรรทุกได้ถึง 1,100 ปอนด์ และที่สำคัญคือ ราคาประหยัด ลูฟจึงตอบสนองความต้องการของลูกค้าในยุคที่มีวิกฤตการณ์เชื้อเพลิงโลกได้อย่างดี และถูกแทนที่ด้วย เอส-10 ในปี 1982 1973 เชฟวี่ทัครุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมตัวถังครูว์แค็บ 4 ประตู1978 ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล เป็นครั้งแรก ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงยิ่งขึ้น1981 เพิ่มระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 แบบใหม่ที่ผู้ขับสามารถปรับเปลี่ยนเป็นสี่ล้อได้โดยไม่ต้องลงจากรถ1982 เปิดตัวเชฟโรเลต s10 คอมแพกต์ทรัค พร้อมขุมพลังวี6 เป็นรายแรกในตลาดรถกระบะขนาดกลาง1983 ยอดผลิตสะสมของเชฟวี่ทรัคทุกรุ่น สูงถึง 18.5 ล้านคัน นับตั้งแต่ปี 1955 ในจำนวนดังกล่าวยังคงมีเชฟวี ทรัคอยู่ถึง 11 ล้านคันที่ยังโลดแล่นอยู่ในชีวิตของผู้คนทั่วโลกในขณะนั้น++ก้าวสู่ยุคแห่งความสมบูรณ์แบบ++1987 เปิดตัวเชฟโรเลต ซี/เค ซีรี่ส์ (C/K series) ติดตั้งระบบเอบีเอส ล้อหลัง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อินสต้า แทรค (Insta Trac) และตัวถังแบบกระบะตอนครึ่ง (Extended Cab) รายแรกในตลาดโลก1991 เพิ่มขุมพลังเบนซิน วอร์เทค (Vortec) ระบบเอบีเอส ทั้ง 4 ล้อ และถุงลมนิรภัย1994 เชฟโรเลต S10 โฉมใหม่ ออกสู่ตลาด พร้อมรูปลักษณ์ที่ลู่ลมยิ่งขึ้น และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อินสต้าแทร็ค (Insta Trac)++สืบทอดสายเลือดทรหด++หัวใจสำคัญที่ทำให้รถเชฟวี่ทรัค ครองใจผู้คนในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลกมานานกว่า 80 ปี เป็นผลมาจากการนำทุกความต้องการของผู้บริโภค มาผสมผสานเข้ากับประสบการณ์และความรู้ในเชิงเทคโนโลยีวิศวรรมชั้นเลิศ ของทีมวิศวกรเชฟโรเลตในแต่ละยุคสมัย ที่สั่งสมและถ่ายทอดสืบต่อมา จนได้มาซึ่งเชฟวี่ทรัค รุ่นแล้วรุ่นเล่า ที่ผู้คนจำนวนมาก ต่างยอมรับในความเป็นหนึ่งในด้านความแข็งแกร่ง ทรหด บึกบึน เพื่อทุกรูปแบบการใช้งาน อย่างแท้จริง ในปี 1999 เชฟโรเลต ซิลเวอร์ราโด ก้าวสู่ความล้ำหน้าด้วยรูปโฉมใหม่ทั้งคัน แข็งแกร่งขึ้นพร้อมขุมพลัง Vortec ปี 2000 เชฟโรเลต เอส เอส อาร์ (SSR) รถกระบะ สปอร์ต โรดสเตอร์ ขับเคลื่อน ล้อหลังที่ใช้เครื่องยนต์ V8 และมีจุดเด่นที่ประทุนหลังคาแบบเปิด-ปิดได้ เอส เอส อาร์นี้สร้างกระแสความสนใจอย่างมากก่อนจะเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2003 และได้รับการคัดเลือก ให้เป็นรถนำขบวน (Pace car) ในการแข่งขันอินดี้ คาร์ 2004 ในสหรัฐปี 2004 เชฟโรเลต โคโลราโด รถกระบะขนาดหนึ่งตันของเชฟโรเลตที่มีขนาดตัวถังใหญ่ที่สุดเท่าที่เชฟโรเลตเคยผลิตและมีรุ่นให้เลือกมากที่สุด จากประสบการณ์ที่ผ่านมากาลเวลามากว่า 80 ปี จวบจนถึงทุวันนี้ เชฟโรเลต ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเชฟวี่ทรัค รุ่นใหม่ ๆ ให้ถึงพร้อมด้วยสมรรถนะที่เป็นเลิศ ผสานความแข็งแกร่งปลอดภัย ให้ประจักษ์ถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นตามแบบฉบับเชฟวีทรัคสไตล์อเมริกัน

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Design Blog, Make Online Money